July 13, 2010

Men's Fashion, inspired by J-T-K Pop Culture Part 3/5

มาถึง Part3 ว่าด้วยเรื่องของกระแสเกาหลีหรือที่เรียกกันติดปากว่า K-Pop คงต้องแบ่งเป็นสองส่วนด้วยเพราะว่ากระแสเกาหลีนั้นมีมาเป็นระลอกเบาๆ ก่อนที่จะโหมหนักเอาตอนท้ายในช่วงปลายทศวรรษนี้ เมื่อสิบกว่าปีก่อนมีเพื่อนสนิทไปเที่ยวเกาหลีกลับมาเล่าให้ฟังแต่ส่วนตัวยังเฉยๆฮ่ะ เกาหลีคือหนึ่งในประเทศจากเอเชีย ที่ถ้าพูดไปคงไม่ได้อยู่ในแพลนอยากไปในตอนนั้น ซึ่งผิดกันกับตอนนี้ที่กระแสเกาหลีพัดเอาเงินบาทไทยไปแล้วมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมาฮ่ะ


ส่วนแรกนี้คงต้องพูดถึงนโยบายจากทางรัฐบาลของเกาหลีที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดกระแสเกาหลีฟีเวอร์อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ด้วยที่เล็งเห็นว่าอุตสาหกรรมบันเทิงคือส่วนสำคัญที่สามารถช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมได้ นโยบายที่ดูเหมือนง่ายแต่ได้ผลดีนี้ประจวบเหมาะกันกับที่กระแสของ   "J และ T Pop" ปูทางไว้ก่อนหน้า ทุกอย่างจึงออกมาสอดรับกันฮ่ะ


อย่างที่บอกว่ากระแสเกาหลีมีเป็นระลอก ในช่วงปลาย 90's ขณะที่กระแส J-Pop ระบาดหนักในไทย เกาหลีก็เอาใจใครที่ชอบดราม่าซีรีย์ด้วยการส่งละครดีๆเข้ามาฉาย อย่าง ''Autumn in My Heart'' และโหมการตลาดโปร โมทการท่องเที่ยวทุกขั้นโฆษณา ดรามาซีรีย์ปี 2000 เรื่องนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ "เกาหลี ฟีเวอร์" ที่มี "Won Bin" หนึ่งในนักแสดงนำกลายเป็นขวัญใจในข้ามคืนพร้อมการตอบรับที่ดีด้วยเรทติ้งถล่มทลายจนกลายเป็น ใบเบิกทางให้กับซีรีย์และภาพยนต์เกาหลีต่อๆมาฮ่ะ

Autumn in My Heart "รักนี้ชัวนิรันดร์"

นอกจากกระแสซีรีย์เกาหลีจะมีมาในช่วงที่กระแส J-Pop ยังอยู่แล้ว ในช่วงต้นทศวรรษนี้ขณะที่กระแส T-Pop ยังครองอยู่ เกาหลีก็ส่งภาพยนต์ดีๆออกฉายทั่วโลกเช่นกันแล้วด้วยคุณภาพของงานทำให้หลายเรื่องที่ผ่านมาล้วนประสปความสำเร็จแทบทั้งสิ้นเป็นเหมือนคลื่นอีกระลอกที่พัดมาตอกย้ำถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมบันเทิงประเทศนี้ฮ่ะ

My Sassy Girl (2001) / The Way Home (2002)

The Classic (2003) / Windstruck (2004)

ความต่างของสไตล์จากดาราชายเกาหลีน่าจะเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์แตกต่างไปจากกระแส J และ T-Pop รวมถึงแฟชั่นชายที่มีหลากหลายมากกว่าใต้หวันและเป็นแฟชั่นที่ไม่สุดโต่งอย่างญี่ปุ่น ทั้งหล่อเข้มมาดเท่ห์อย่าง Won Bin น่ารักเหมือนผู้หญิงอย่าง Lee Jun Ki แต่ด้วยช่วงนั้นกระแสของใต้หวันยัง มีอยู่จึงดูเหมือนว่าน่าจะไม่ใช่ช่วงฟีเวอร์สุดขีดของกระแส K-Pop ฮ่ะ

Won Bin / Lee Jun Ki

จนเข้าสู่ช่วงกลางถึงปลายทศวรรษนี้กระแสเกาหลีจึงฟีเวอร์ถึงขีดสุดชนิดที่กระแสของ K-Pop ครองใจวัยรุ่นไทยที่ชอบในวัฒนธรรม  Asian Pop ส่วนใหญ่ ที่ใครๆต่างก็พากันฟังเพลง ดูซีรีย์ ใช้สินค้าเกาหลี โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่ได้รับผลโดยตรงจากกระแสนี้ฮ่ะ

To Be Continued ...

3 comments:

  1. เมื่อตอนปี1996..14ปีมาแล้ว ดิฉันไปเกาหลีครั้งแรก ตอนนั้น..กับตอนนี้เกาหลีไม่มีอะไรเหมือนเดิม นอกจาก..ผู้ชาย ผู้ชายน่ารัก..น่าหยิก..มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ห้าง"Galleria"ตอนปี1996..ก็ไม่เหมือนกับที่ป๊อปปี้ได้ไปเห็น เป็นตึกขาวๆซีดๆ ด้านล่างไม่มีจุนเจ(5..5..5),ดิออร์ ออมห์..มีแต่กระบะเซลสุดลูกหูลูกตา แต่ของปลอมตรงซีซั่น..มีขายแล้ว สร้อยของเวอร์ซาเช่เหมือนเด้ง,ร่มลาครัวซ์คันล่ะ200บาท พ่อซื้อเชิ๊ต"จิวองชี่"มาหลายตัว..จาก"Galleria" จนบัดนี้ยังไม่รู้ของจริง..ของปลอม ตอนนั้นกรุงเทพดูดีกว่าโซลมากมาย โซลเหมือนเปียงยางฉบับพัฒนาแล้ว แต่หลังปี2000มาเมืองเราคล้ายๆโดนแช่เย็น เป็นเมืองร้อนยุคน้ำแข็งที่จนป่านนี้ยังไม่ละลาย

    ReplyDelete
  2. แต่เราเพิ่งมี "ไฟใหม้" กันไปนะเจ๊ นอกจากละลายแล้วหายไปหมดเลย ฮ่า ฮ่า / 14 ปีที่แล้วเจ๊ชอบอะไรในเกาหลี บรรยากาศบ้านเมือง
    เค้าสบายมั๊ย ^__^

    ReplyDelete
  3. ทัดดาว : 14 ปีที่แล้วเจ๊ชอบอะไรในเกาหลี ?

    เจ๊ : ผู้ชายน่ะซิ จะมีอะไรอีก ตอนนั้นยังมีประท้วงแรงๆกันวันเว้นวัน ทหารเยอะมากเดินเต็มถนน แล้วตอนที่ไปเป็นหน้าร้อน..ร้อนเท่าประเทศนี้ ทหารปราบเดินขบวนเสร็จ จะมาพักผ่อนตึกที่พ่อทำงานอยู่ เพราะตึกนี้จะมีที่ว่างอยู่หลังตึก ถอดเสื้อเดินกันขวั่กไขว่ เป็น100..ป๊อปปี้..ทหารเป็นร้อยๆคน มองจากห้องทำงานพ่อลงไป เหมือนทุ่งหญ้าที่ทำจากทหารถอดเสื้อ ชอบมาก เวลาพ่อบังคับให้ไปซื้อกับข้าวในซุปเปอร์ ก็จะแวะย้วยไปมา ซื้อไม่เสร็จ..หายไปเป็นชั่วโมง จนพ่อเข้าไปตามใน"ซินซาเกะ" ด่ายับ..ดิฉันยืนถือตะกร้าก้มหน้ารับกรรม ในตะกร้าว่างปล่าว..ไม่มีผัก,ไม่มีเนื้อ,ไม่มีกิมจิ, มัวแต่ดูผู้ชายอยู่ ก็แหม..กำลังจะซื้อเนื้อ ผู้ชายมันมากับแม่..มาเดินตามดิฉันต้อยๆ เราก็ทำเป็นหยุดอ่อยเหยื่อดูนั่นนี่เป็นพักๆ พอมันเข้ามาคุยเท่านั้นแหละ แม่มันปราดเข้ามาเหมือนมีเรดาห์(สงสัยมาจากเปียงยาง) ลากเอาตัวลูกชายออกไป เห็นไหม..แห้วแล้วยังโดนพ่อด่าอีก

    ReplyDelete

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...