August 30, 2015

Opening Ceremony for Samsung Galaxy Note 5


Opening Ceremony 
for Samsung Galaxy Note 5

เมื่อ Fashion ได้มาเจอกับ Technology อีกครั้ง ตั้งแต่ Moschino ที่ออกแบบไว้ให้ใน Samsung Galaxy Note 3 เมื่อ 2 ปีก่อนจนมาถึง Note 5 ล่าสุดกับลายน่ารักๆโดย Opening Ceremony ในยุคที่ Accessories สำหรับมือถือนั้นสะท้อนไลฟ์สไคล์ได้ดีไม่แพ้ตัวเครื่อง เรื่องของการออกแบบโดยร่วมงานกับแบรนด์ดังต่างๆจึงมีออกมาให้เห็นได้เรื่อยๆ ^__^

August 29, 2015

ต้อนรับน้องเล็ก Note 5 มาเข้าร่วมครอบครัวเดียวกับพี่ๆ

Samsung Galaxy Note 5 

ตกหลุมรัก Samsung Galaxy Note มาตั้งแต่ Note 3 จนมาล่าสุดนี้กับ Samsung Galaxy Note 5 ตั้งแต่ที่เผยโฉมมาเมื่อช่วงกลางเดือนนี้ โดยมีรูปแบบงานดีไซน์ที่อิงมาจาก S6 และ S6 Edge ด้วยความโค้งมน และมันวาวด้วยวัสดุตัวเครื่อง ก็ทำเอาหลงรักตั้งแต่แรกเห็น แล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องนำน้องเล็กคนล่าสุด Note 5 กลับมาเข้าร่วมครอบครัวกับทั้ง Note 3 และ Note 4 ที่มีอยู่, ที่ชอบมากๆนอกจากในส่วนของงานดีไซน์แล้วก็คงเป็นส่วนของการถ่ายภาพ อย่างเช่นในทริป Paris เมื่อปลายมิถุนายนที่ผ่านมา click กล้องหลักที่ใช้นั้นเริ่มมีปัญหาในส่วนของการโฟกัส ทำให้หน้าที่หลักของการเก็บภาพบรรยากาศต่างๆตกมาอยู่ที่ Samsung Galaxy Note 4 เครื่องที่ใช้ปัจจุบันในขณะนั้น แล้วก็ได้รูปสวยๆมาเก็บไว้ใน Diary อย่างที่เขียนถึงในคราวก่อน

ครอบครัว Note, พี่ๆ Note 3, 4 และน้อง Note 5

เช่นกันกับที่ก็เชื่อมั่นว่า Note 5 เครื่องล่าสุดที่ใช้อยู่ในขณะนี้ จะกลายเป็นอีกผู้ช่วยดีๆซึ่งช่วยให้การเก็บภาพต่างๆนั้นง่ายดายและสะดวกขึ้น แล้วคงเป็นหนึ่งในอุปกรณ์หลักที่คงไปด้วยกันกับทริปต่างๆที่จะมีขึ้นตามมา(เดือนตุลาคมนี้คงได้ถ่ายหนำใจที่เกาหลี) แม้ว่ารูปภาพที่ถ่ายจากมือถือในส่วนของผลลัพธ์อาจยังไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับกล้องถ่ายภาพระดับสูงได้(ก็ยังต้องพกคู่กันกับกล้องหลัก) แต่ความสะดวกสบายในการพกพานั้นต่างกันมากๆเลยทีเดียว, ว่าไปแล้วก็รู้สึกโชคดีที่ในยุคนี้โทรศัพท์มือถือนั้นมาด้วยคุณสมบัติมากมาย และมีหลายรุ่นให้เลือกเพื่อเข้ากับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน แต่สำหรับส่วนตัว หลังจากที่ตกหลุมรักซีรีย์ Note ของ Samsung มาแล้วสองปี Note 5 เครื่องล่าสุดนี้ ก็ยังเป็นเหตุผลที่ทำให้ยังคงหลงรักต่อไป ^__^

น้องเล็กคนล่าสุด Samsung Galaxy Note 5

August 27, 2015

A Sneak Peek at the New Vogue Runway


Givenchy Couture Fall 2015, Chain Details



GIVENCHY Couture Fall 2015
Chain Details

เห็นรูปแฟชั่นเซ็ทนี้จาก Instagram ของ 'Riccardo Tisci' ซึ่งเป็นรูปภาพแฟชั่นเซ็ทสำหรับนิตยสาร Numero ประเทศฝรั่งเศสแล้วก็ชื่นชอบสุดๆ อารมณ์ของภาพถ่ายทำให้นึกเลยไปถึงรูปผลงานระดับตำนานอย่าง Le Smoking อันโด่งดัง ซึ่งก็ไม่แน่ว่าเมื่ออีกหลายทศวรรษผ่านไป สาวมาดเท่ห์ในชุด Haute Couture ปักโซ่เงินระยิบระยับแบบฉบับของ Riccardo Tisci ชิ้นนี้ก็อาจจะคลาสสิคและถูกหยิบยืมเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ดีไซเนอร์รุ่นต่อๆไปก็เป็นได้ ในยุคที่ Inspiration ในแต่ละอย่างเข้าถึงกัน และเชื่อมโยงกันไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด, สำหรับ Couture ชุดนี้ ตอนที่อยู่ในโชว์เมื่อดูแบบไม่ละเอียดอาจนึกว่าเป็นงานปักคริสตัล แต่จริงๆแล้วนั้นคือการปักโซ่เงินลงไปอย่างละเอียดยิบ ซึ่งรายละเอียดการตกแต่งโซ่ เป็นหนึ่งในเทคนิคสำหรับ Haute Couture คอลเล็กชั่นที่ Riccardo Tisci ใช้ให้เห็นเสมอ และเจอล่าสุดใน Couture Fall 2015 นี้ ^__^

(รูปภาพ riccardotisci, opoloppoppy)

August 24, 2015

The Diary : ติ่มซำ ร้าน Tim Ho Wan (Hong Kong)


ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา หลายคนที่เป็นคอติ่มซำก็คงดีใจและอาจมีโอกาสได้ไปอุดหนุนร้าน Dim Sum ชื่อดัง(มาก!)จากเกาะฮ่องกงอย่าง Tim Ho Wan สาขาประเทศไทยในห้างกลางเมือง Terminal 21 กันบ้างแล้ว ซึ่งบรรยากาศที่เห็นได้จากรูปของทาง facebook ทางร้าน และที่มีคนแชร์ ในส่วนของคิวก็หนาแน่นไม่แพ้ร้าน Tim Ho Wan สาขาต่างๆในฮ่องกงเลยทีเดียว สำหรับส่วนตัวแม้ไม่ใช่เป็นคอติ่มซำตัวยง แต่ก็คงปฎิเสธไม่ได้ว่าติ่มซำของ Tim Ho Wan นั้นอร่อยสมคำล่ำลือ และสมกับที่เป็นร้านอาหารติดดาวมิชลิน หลังจากเคยกินที่ฮ่องกงแล้วก็หลงรักทุกๆเมนู ถ้าจะบอกว่าสั่งเลยอร่อยทุกอย่างก็คงบอกได้เต็มปาก เพราะจากที่ได้ลิ้มรสเป็นเช่นนั้นจริงๆ

เมนูต่างๆของ Tim Ho Wan

เป็นอีกหนึ่งร้านที่ "สั่งได้เลยอร่อยทุกอย่าง"

ปรกติแล้วเมื่อไปต่างประเทศ ก็มักไม่ค่อยได้ทานร้านอาหารที่มีคิวยาวเหยียด เพราะทั้งขี้เกียจ(ไม่ดีเลย)และทั้งไม่มีเวลา ทำให้พลาดการทานร้านอาหารร้านดังหลายๆร้านไป แต่ในทริป Hong Kong เมื่อต้นปีก็มีโอกาสได้ทานติ่มซำที่ร้าน Tim Ho Wan จนได้ แม้ร้านแต่ละสาขาจะมีลูกค้ามาต่อแถวยืนรอเพื่อให้ได้ทานติ่มซำแสนอร่อย แต่ก็คุ้มค่ากับที่รอคอยเพื่อให้ได้ทานอาหารรสชาติดีๆ ยิ่งมีรสออกมาถูกปากด้วยแล้ว อาหารหน้าตาธรรมดาที่หาทานได้ทั่วไปอย่างติ่มซำ ก็กลายเป็นอาหารจานพิเศษ ด้วยวัตถุดิบชั้นดี และมีสูตรลับต่างๆของทางร้านที่ใส่เข้าไป ทำให้ติ่มซำของทีนี่รสชาติโดดเด่นไม่เหมือนใคร และถูกใจจนอยากทานแล้วทานอีกเลยทีเดียว

ข้าวหน้าไก่ ข้าวหอมๆ ทานคู่กับไก่เนื้อนุ่ม อร่อยสุดๆ

ขนมจีบที่ใช้วัตถุดิบชั้นดี รสชาติอร่อยมาก

สำหรับติ่มซำของร้าน Tim Ho Wan สาขาประเทศไทยนั้นยังไม่มีโอกาสได้ไปทาน แต่ถ้ามีเวลาว่างก็อยากหาเวลาไปชิมรสชาติอร่อยๆตามมาตรฐานของ Tim Ho Wan ทุกๆสาขาที่มีในแต่ละประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าอยากได้ทานอาหารอร่อยๆ ของร้านที่สั่งสมชื่อเสียงมานานขนาดนี้ การเตรียมเวลาสำหรับการต่อคิวก็ต้องมีเผื่อไว้มากๆด้วยเช่นกัน แต่สำหรับใครที่ไม่ได้รีบร้อน มีเวลาว่าง กำลังมองหาของอร่อยๆทาน Tim Ho Wan เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่คู่ควร จะชวนเพื่อนไปทานเป็นกลุ่ม เป็นคู่ หรือทานเดี่ยว ก็คุ้มค่ากับเวลาที่รอคอยแน่นอน ด้วยรสชาติที่การันตีมาแล้วโดยผู้คนจากทั่วโลกที่หลั่งไหลกันไปลิ้มรสติ่มซำของ Tim Ho Wan มาก่อนหน้า ^__^

เมนูขึ้นชื่อที่ต้องสั่ง ซาลาเปาใส้หมูแดง(ชอบมาก!)

ฮะเก๋า แป้งนุ่ม ใส พร้อมใส้กุ้งแบบเน้นๆ

ก๋วยเตี๋ยวหลอดหมูแดง ราดซีอิ๋วหวานได้ตามใจชอบ

August 22, 2015

ละม้ายคล้ายคลึง : Marc by Marc Jacobs Watch และ Balenciaga Watch

Marc Jacobs Fall 2015, AD Campaign

BALENCIAGA Spring/Summer 2011

MbMJ ViV Watch & Balenciaga Limited Edition Watch

ในช่วงละม้ายคล้ายคลึงวันนี้ ขอนำเสนอนาฬิกาสำหรับฤดูหนาว คอลเล็กชั่น Fall 2015 ที่มีชื่อรุ่นว่า Viv Watch ของ Marc by Marc Jacobs ด้วยนาฬิกาในรูปแบบของ Cuff ทั้งแบบหนังธรรมดา และหนังปั๊มลาย แล้วก็มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึง กับนาฬิกาในแบบ Limited Edition ของ Balenciaga สำหรับคอลเล็กชั่นฤดูร้อน 2011 ซึ่งเป็นนาฬิกาที่ออกแบบโดย Nicolas Ghesquiere ในขณะที่ยังคงเป็น Creative Director ให้กับ Balenciaga ในขณะนั้น แล้วดูเหมือนกันเลยมั๊ย? ก็คงไม่เหมือนกันแบบเป๊ะๆ เพราะไม่อย่างนั้นคงเหมือนเป็นการเลียนแบบ เพียงแต่ดูละม้ายคล้ายคลึงแล้วทำให้ดูแล้วนึกถึงเท่านั้นเอง และแน่นอนว่าด้วยราคาที่แตกต่างกัน เพราะวัสดุ การผลิต และแบรนด์ ทำให้แฟนๆมั่นใจได้ว่านาฬิกาแฟชั่นทั้งสองนั้นไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน ^__^

(รูปภาพ : lyst, marcjacobs)

August 21, 2015

ชิ้นแรกจาก H&M x Balmain


H&M x Balmain, First Look


อีกสองเดือนกว่าถึงวางจำหน่าย แต่คอลเล็กชั่นพิเศษของสองรายใหญ่ทั้ง H&M และ Balmain ได้ปล่อยรูปชิ้นแรกออกมายั่วยวนชวนซื้อกันแล้วในวันนี้ โดยเป็นชุดที่มีการปรับลดทอนวัสดุและรายละเอียดจากคอลเล็กชั่นของ Balmain เพื่อให้ได้ราคาที่สวยงาม ซื้อง่าย แต่ก็คงไว้ด้วยสไตล์ที่หรูหราในแบบฉบับของ Balmain ^__^

August 20, 2015

The Diary : เป็นดีไซเนอร์ที่ดีต้องยอมรับได้เมื่อผลงานตัวเองนั้นน่าเบื่อ

"It is time to move"

เขียนชื่อ Diary ของบล็อกคราวนี้เหมือนกับว่าจะไปสั่งสอนใคร แต่บอกเบื้องต้นก่อนได้เลยว่า ไม่ใช่เป็นอย่างนั้น เพียงแต่หลังจากได้อ่านการให้สัมภาษณ์ของดีไซเนอร์ระดับตำนานอย่างคุณลุง Yohji Yamamoto สำหรับเว็บไซต์ 'Style.Com' แล้วก็ชื่นชมในความเป็นคนที่เปิดเผย และพูดตรงไปตรงมา จึงไม่แปลกใจที่ทำไมคุณลุงจึงอยู่ในวงการมายาวนาน ข้ามผ่านมาทศวรรษแล้วทศวรรษเล่าถึงปัจจุบัน แถมยังทำให้ผลงานที่ออกแบบนั้นดูร่วมสมัย นั่นก็น่าจะเป็นเพราะการเปิดใจยอมรับถึงผลตอบรับที่มีต่อผลงานของตัวเอง และมองในเรื่องของข้อเท็จจริง(ซึ่งมีสิ่งที่เรียกว่า 'ผลประกอบการ')เป็นหลัก และคงไม่ยึดติดกับความยิ่งใหญ่ในอดีตที่ผ่านมา

บทสัมภาษณ์โดย Luke Leitch สำหรับ Style.Com

จากในบทสัมภาษณ์ สำหรับคอลเล็กชั่น Y-3 Spring/Summer 2016 จะเห็นว่า เมื่อ Y-3 ก้าวเข้าสู่ปีที่ 13(เลขลัคกี้นัมเบอร์มาเชียว) เนื้อความซึ่ง Yohji Yamamoto พูดถึงจุดเริ่มต้นของการร่วมงานกับ Adidas และไล่ยาวไปถึงที่ตัวดีไซเนอร์ก็ทราบว่าเมื่อวันเวลาผ่านไป ผลงานที่ออกแบบไว้ให้สำหรับ Y-3 เริ่มดูน่าเบื่อ และเมื่อถึงจุดนั้นแล้ว ก็คงต้องอยู่ที่จุดเปลี่ยนจากการตัดสินใจที่จะหยุด หรือจะไปต่อ? แล้วถ้าต้องการนำ Y-3 ไปต่อในทศวรรษนี้ที่การแข่งขันในธุรกิจแฟชั่นสูงมากๆ จะทำอย่างไร? แต่จากจุดเริ่มต้นของการเปิดใจยอมรับว่า ผลงานของตัวเองนั้นเริ่มดูน่าเบื่อ และเมื่อนั้นก็จะตามมาด้วยการเปิดใจยอมรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริงอีกหลายๆเรื่องตามมา

ขอจดไว้ใน Wish List ทั้งเสื้อผ้า และ Sneakers คู่ใหม่

แล้วดูเหมือนว่าเมื่อ Yohji Yamamoto ตัดสินใจที่จะก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับ Adidas และ Y-3 การปรับ และกลับสู่หัวใจหลัก ตั้งแต่เริ่มต้นที่มีความเป็น Sporty และ Street Fashion ผสมผสานกันจึงส่งผลให้ตั้งแต่ที่ Y-3 บุก Paris Men's Fashion Week ในปีก่อน พร้อมกับผลงานที่ดูสดใหม่แต่ยังคงไว้ด้วยสไตล์ตามแบบฉบับ ก็ได้รับผลตอบรับที่ดี(อีกครั้ง)มาจนถึงตอนนี้ เมื่อรองเท้า 'Y-3 Qasa' กลายเป็นหนึ่งในแฟชั่นไอเท็มที่สาวก Street Fashion ต่างต้องการกันถ้วนหน้า รวมทั้งเสื้อผ้าและบรรดา Accessories ที่กลับมาถูกพูดถึง หลังจากในช่วงปลายทศวรรษก่อน จนถึงต้นทศวรรษนี้ กระแสของ Y-3 นั้นเริ่มดูเงียบเหงามาสักระยะ(ใหญ่ๆ)

Y-3 Spring/Summer 2016

ในคอลเล็กชั่นฤดูร้อน 2016 ปีหน้า สารพัด Wordings ที่มีมาตั้งแต่ในบัตรเชิญ "It is time to move" ไปจนถึงซึ่งเห็นจากบนชิ้นงานในคอลเล็กชั่น "Don't Stop" คู่กับรูปสเก็ตของคุณลุงกำลังก้าวเดิน ก็เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่ดี และทำให้แฟนคลับ Y-3 ได้ใจชื่นขึ้นมาว่า Yohji Yamamoto ยังคงไม่หมดไฟ และยังคงนำพาแบรนด์ Street Fashion ขวัญใจของใครอีกหลายๆคนแบรนด์นี้ ก้าวไปพร้อมกัน ด้วยคอลเล็กชั่นซึ่งหวนกลับสู่ความเรียบง่าย มีเส้นสายของลายสามแถบสัญลักษณ์ รวมทั้ง Sporty สำหรับ Street Fashion เป็นหลัก เท่านี้ก็ทำให้หวนคิดถึง Y-3 ที่เคยหลงรัก และยังคงรักต่อไปอีกเรื่อยๆ นานแสนนาน พร้อมข้ามผ่านวันเวลาไปด้วยกัน ^__^

แฟนคลับ Y-3


(รูปภาพ : opoloppoppy)

August 19, 2015

G Shock : 'Siam Manud Street Thailand's National Treasures'


หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับ Limited Edition ซีรีย์ 'สยามมานุดสตรีท G-Shock Siam Artists Series' ในปีก่อน ปีนี้ G-Shock นาฬิกาขวัญใจของคนทุกๆวัย ที่รักในสตรีท-สไตล์ก็กลับมาอีกครั้ง โดยครั้งนี้กับ Limited Edition ซีรีย์ชุดใหม่ในชื่อว่า 'Siam Manud Street : Thailand's National Treasures' ได้เชิญศิลปินแนวสตรีทอาร์ทระดับแถวหน้าของเมืองไทยที่มีผลงานโดดเด่นในระดับนานาชาติ มาถ่ายทอดเอกลักษณ์คุณค่าของความเป็นไทยของแต่ละภาค ในสไตล์เฉพาะตัวของศิลปินทั้ง 4 ท่าน ได้แก่ Benzilla, Clubpopp, P7 และ Tikkywow สื่อผ่านนาฬิกา G-Shock รูปแบบจำนวนจำกัดที่ดีไซน์ละ 250 เรือนเท่านั้น


Benzilla for G-Shock 'ภาคกลาง'
(GA-100B-4A)


Benzilla หรือ ปริญญา พิเชษฐศิริพร สตรีท อาร์ตทิส โด่งดังด้วยผลงานของคาแรคเตอร์มนุษย์ต่างดาว 3 ตาที่ชื่อว่า '3Balls' ด้วยสีสันที่สดใสและกลิ่นอายของความสนุกสนานได้สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัวในผลงานของเขาสำหรับ G-Shock ออกมาอย่างชัดเจน โดยนำแรงบันดาลใจที่เกิดจากความสนใจในศิลปะของภาคกลาง ที่เป็นภูมิศาสตร์เมืองหลวงของประเทศไทยตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน นอกจากเลือกนาฬิกาสีแดงที่มีความเป็นไทยอยู่อย่างเต็มที่แล้ว ก็ยังนำวัสดุที่ใช้ในการสร้างเมืองอย่างอิฐและคอนกรีตมาเป็นองค์ประกอบในผลงาน เสมือนสัญลักษณ์แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านของยุคในแต่ละช่วงสมัยของไทย


P7 for G-Shock 'ภาคอีสาน'
(GA-100-1A2)


P7 หรือ เจนวิทย์ ลิ้มธรรมรงค์ ศิลปินกราฟฟิตี้สตรีทอาร์ตชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ด้วยผลงานที่หลายคนคุ้นเคย ซึ่งเต็มไปด้วยสีสันที่สดใสและดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เห็นได้ทั้งจากงานเพ้นท์ และงานประติมากรรมขนาดใหญ่ที่อยู่ทั้วทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด สำหรับ G-Shock ที่ออกแบบโดย P7 คราวนี้ ได้แรงบันดาลใจจากคุณค่าของงานศิลปะพื้นบ้าน 'ผีตาโขน' ที่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของภาคอีสานจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก อีกทั้งยังได้สอดแทรกเรื่องของประเพณีและความเชื่อทางศาสนาพุทธของวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สวยงาม เต็มไปด้วยเสน่ห์และคุณค่าทางศิลปะของเมืองไทยอย่างแท้จริงลงไปบนผลงานด้วยเช่นกัน


Tikkywow for G-Shock 'ภาคเหนือ'
(GA-100A-9A)


Tikkywow หรือ พิเชฐ รุจิวรารัตน์ ศิลปินกราฟฟิตี้ ซึ่งมีฝีมือเป็นเอกลักษณ์อีกคนของเมืองไทย ด้วยผลงานที่ล้วนมีสีสันจัดจ้าน สนุกกับการใช้สีอย่างไม่เกรงใจใคร และยังโดดเด่นด้วยการนำศิลปะไทยมาประยุกต์ให้ดูร่วมสมัยได้อย่างลงตัว ในครั้งนี้ Tikkywow ได้ออกแบบนาฬิกา G-Shock โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากลวดลายผ้าที่สวยงามและมีเอกลักษณ์ของชุดชาวเขาในทางภาคเหนือ ซึ่งเป็นคุณค่าที่สืบเนื่องมาแต่โบราณ นำมาปรับดีไซน์ลงบนตัวเรือนนาฬิกา ด้วยสีสันซึ่งดูสนุกสนาน พร้อมดีไซน์คาแร็คเตอร์กิ้งก่าคามิลเลียนขึ้นเป็นพิเศษ สำหรับผลงานคอลเล็กชั่นพิเศษที่ออกแบบให้กับนาฬิกา G-Shock Limited Edition ครั้งนี้ด้วย


Clubpopp for G-Shock 'ภาคใต้'
(GA-110GW-7A)


Clubpopp หรือ พีระ สุขอาษา ผู้ที่สร้างสรรค์อัลบั้มหน้าปกของศิลปินดัง รวมไปถึง Key Visual งานปาร์ตี้และ งานคอนเสิร์ตต่างๆในประเทศไทยมากมายนับไม่ถ้วน ด้วยผลงานสไตล์ Pop Culture ซึ่งถ่ายทอด Lifestyle และ Fashion ของวัยรุ่นในช่วงยุค 80's-2000 สำหรับนาฬิกา G-Shock ในคอลเล็กชั่นพิเศษครั้งนี้ Clubpopp ได้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานมาจากจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นท้องถิ่นที่เติบโตมา จึงเลือกคอนเซ็ปต์ที่เกี่ยวกับท้องทะเล ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมและลวดลายแบบชิโน-โปรตุกีส ที่เป็นเอกลัษณ์ของตัวเมืองภูเก็ต ถ่ายทอดออกมาด้วยการใช้สีที่กลายเป็นซิกเนเจอร์ในแบบเฉพาะตัวออกมาได้อย่างลงตัว ^__^

*วางจำหน่ายเอ็กซ์คลูซีพเฉพาะรุ่นตามแต่ละภาคเท่านั้น*

ภาคกลาง : Siam Paragon วันที่ 28 พฤศจิกายน 2558
ภาคอีสาน : Robinson ขอนแก่น วันที่ 19 กันยายน 2558
ภาคใต้ : Robinson สุราษฎร์ธานี วันที่ 7 พฤศจิกายน 2558
ภาคเหนือ : Central Festival เชียงใหม่ วันที่ 10 ตุลาคม 2558


August 18, 2015

Jeremy Scott Redesigned The VMA Moonman

The Moonman 2015
รีดีไซน์โดย Jeremy Scott

ช่วงนี้กระแสของ Jeremy Scott ยังคงแรงดีไม่มีตก หลังจากที่ทำให้ยอดขายของ Moschino เพิ่มสูงขึ้นแล้ว ก็ตามมาด้วยงานดีไซน์อีกสารพัดชิ้น แถมยังจะมีภาพยนต์ของตัวเองตามออกมาในช่วงปลายปี แล้วเมื่อวานนี้ยังได้เผยโฉม Moonman ที่รีดีไซน์โดย Jeremy Scott สำหรับ The MTV Video Music Awards 2015 ออกมาอีกหนึ่งชิ้น ^__^


(ข้อมูล mtv.com)

August 16, 2015

The Diary : ลายทางของ Buren


เขียนต่อเนื่องมาจาก The Diary ในคราวก่อน ที่หากพูดถึงแลนด์มาร์คใหม่แล้ว ในช่วงปีนี้ถึงปีหน้า 'ศิลปะภูมิทัศน์' ในกรุง Paris ของ Daniel Buren ที่ชื่อว่า 'Les Colonnes de Buren' ซึ่งสร้างในช่วงระหว่างปี 1985-1986 แล้วได้นำไปจัดวางที่ Palais Royal ในปี 1986 นั้นก็กำลังเข้าสู่ปีที่ 30 แล้ว Installation Art รูปร่างดูไม่ประหลาด แต่ชวนให้สงสัยว่าต้องการสื่อถึงอะไร เมื่อย้อนกลับไป 30 ปีก่อน หลายคนอาจงง แล้วก็คงรู้สึกแปลก และไม่เห็นด้วยเมื่อนำแท่นลายทางขาวดำไล่ระดับ มาจัดวางเพื่อให้ตัดกับสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป แลนด์มาร์คใหม่แห่งนี้ก็กลายเป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ และกลายเป็นสถานที่ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายภาพเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกยาวนานมาจนถึงในปัจจุบันนี้

Etudes Studio Mens S/S 2016 จัดที่ Palais Royal

Daniel Buren ที่โชว์ของ Louis Vuitton S/S 2013

และหากย้อนกลับไปในช่วง 3 ปีก่อน ลายทางของ Buren ก็กลายเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจหลักให้ห้องเสื้อใน Paris สร้างสรรค์คอลเล็กชั่นสวยๆออกมา รับฤดูกาล Spring 2013 เช่นหนึ่งในโชว์อันโด่งดังของ Louis Vuitton ที่ Marc Jacobs นำลายทางและลายขวางมาใช้ ซึ่งไม่เพียงแต่ในส่วนของคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าเท่านั้น แต่ในส่วนโปรดัคชั่นที่เนรมิตรบันไดเลื่อนลายทางอย่างผลงานของ Buren ก็เป็นที่ถูกกล่าวถึงด้วยเช่นกัน อีกทั้งในส่วนของ Window Display สำหรับคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2013 กลิ่นอายผลงานศิลปะโดย Buren ก็ลามไปที่ร้านของ Vuitton ทั่วทั้งโลก ด้วยรูปแบบของงานศิลปะที่เน้นเพียงลายเส้นกราฟฟิคดูร่วมสมัย ตัดกับความหรูหราที่มีในผลงานสวยๆของ Louis Vuitton โดย Marc Jacobs

Louis Vuitton Women Spring/Summer 2013

Kenzo Gri-Gri ที่ทำให้นึกถึงลายทางของ Buren

เช่นกันกับในขณะนั้นที่ Kenzo เพิ่งก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ โดยสองคู่หูแห่ง Opening Ceremony การดึงเอาสัญลักษณ์ของ Paris และห้องเสื้อ Kenzo ที่มีมาใส่ไว้ในผลงานจึงทำให้แฟนๆได้เห็นน้องเสือ Gri-Gri ลายทางน่ารักออกมาเป็นหนึ่งในแฟชั่นไอเท็มที่แฟนคลับของ Kenzo ควรมี เพราะเมื่อทั้งคู่เริ่มต้นคอลเล็กชั่นสำหรับ Kenzo โดยมีกลิ่นอายของยุค 80's เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจหลัก กิ่งไผ่สัญลักษณ์ของ Kenzo จึงถูกนำมาปรับใช้ให้ดูร่วมสมัย และทำให้นึกเลยไปถึงผลงานของ Daniel Buren ด้วยเช่นกัน, ปัจจุบันนี้คุณลุง Daniel Buren มีอายุ 77 ปีแล้วแต่ยังคงสร้างสรรค์ศิลปะสมัยใหม่ดูร่วมสมัยออกมาให้ได้ชื่นชมกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เป็นศิลปินอีกหนึ่งท่านที่ความคิดสร้างสรรค์ไม่เคยจางหายไป ^__^


(รูปภาพ : opoloppoppy, lamodeenimages, thetimes.co.uk)

August 14, 2015

The Diary : Fashion Week ในเมืองไทย ดูไม่ลงทุนจริงหรือ?

Hook's Fall/Winter 2008 
อีกหนึ่งแบรนด์ที่สวยงามทั้งเสื้อผ้าและโปรดัคชั่น

เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีโอกาสได้เห็นรูปโชว์ของ Hook's เมื่อ 7 ปีก่อนจากเว็บไซท์ Siammuse (เวอร์ชั่นแรกเริ่ม)อีกครั้งจาก facebook ของคุณผักกาด ประภากาศ อังศุสิงห์ ดีไซเนอร์และเจ้าของห้องเสื้อ Hook's ซึ่งไม่ว่าเวลาผ่านไปกี่ปี Hook's ก็ยังคงเป็นหนึ่งในห้องเสื้อที่แสดงผลงานออกมาให้แฟนๆได้ตื่นตาตื่นใจ ไม่เพียงเฉพาะผลงานการออกแบบเสื้อผ้า แต่รวมไปถึง ส่วนของโปรดัคชั่นตระการตาจนแฟชั่นนิสต้าทั่วฟ้าเมืองไทยยกให้เป็น Talk of The Town ไปทุกซีซั่น ดูขัดแย้งกันกับที่เคยได้ยินคนพูดว่าแฟชั่นโชว์ในไทย ดูไม่ค่อยลงทุน เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับแฟชั่นโชว์ในยุโรป หรือแม้แต่ในเอเชียด้วยกัน ซึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ส่วนตัวไม่ค่อยเห็นด้วย(ทั้งหมดซะทีเดียว) แถมยังคิดต่างออกไปด้วยว่า การจัดแฟชั่นโชว์ในงานสัปดาห์แฟชั่น หรือ Fashion Week ของเมืองไทย ไม่ได้เป็นสองรองใครในเอเชีย หรือแบรนด์ใหญ่ๆในยุโรป เพียงแต่อาจมีหลายปัจจัยที่ทำให้บางคน หรืออาจจะเป็นหลายๆคนรู้สึกไปเช่นนั้นก็เป็นได้

FLYNOW อีกหนึ่งแบรนด์ไทยที่มีรูปแบบ
รันเวย์โชว์สวยงามในทุกฤดูกาลสัปดาห์แฟชั่นไทย

ไม่ใช่แต่เพียงในเต้นท์เท่านั้น
แต่ Flynow ยังจัดแสดงโชว์นอกสถานที่ด้วยเช่นกัน

แม้ส่วนตัวขอยกให้งานสัปดาห์แฟชั่นของเมืองไทยดูไม่เป็นสองรองใคร หากนำไปเทียบกับหลายๆประเทศในเอเชีย หรือแม้แต่บางแบรนด์ฝั่งยุโรป แต่หนึ่งในปัจจัยหลักที่อาจทำให้ Fashion Week ของเมืองไทยไม่เป็นที่ถูกพูดถึงก็เพราะ Fashion Week ในเมืองไทยยังคงจัดโชว์ตามฤดูกาลจริง ไม่ใช่เป็นการจัดโชว์ล่วงหน้าตามปฎิทินแฟชั่นโลก พร้อมกับหลายๆประเทศในยุโรป หรือแม้แต่ในเอเชียด้วยกันเอง ทำให้ทั้งสื่อและ Buyers รายใหญ่ในต่างประเทศจึงมักเลือกที่จะเดินทางไปร่วมงานสัปดาห์แฟชั่นของ ทั้งใน Japan Fashion Week ประเทศญี่ปุ่น และ Seoul Fashion Week ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งทั้งสองนี้มีตารางคาบเกี่ยวกับ Fashion Week ของเมืองไทย ในหลายๆปีที่ผ่านมา(ช่วงต้นตุลาคม Japan และตามติดด้วย Seoul) อีกทั้งงบประมาณในการสนับสนุนสื่อต่างชาติ(อย่างเช่น Seoul)ทั้งตั๋วเครื่องบิน หรือที่พักก็เป็นอีกปัจจัยหลักในการชักจูงใจให้ทั้งสื่อ และ Buyers หันไปสนใจในการเข้าร่วมงานสัปดาห์แฟชั่นของตนเอง

กลุ่ม Buyers ที่สัปดาห์แฟชั่นของกรุง Seoul
ในอดีตจัดที่ Seoul Trade Exhibition and Convention Center

Dongdaemun Design Plaza 
แลนด์มาร์คใหม่ ที่ใช้จัด Seoul Fashion Week ในปัจจุบัน

แต่หากไม่พูดถึงเรื่องของการสนับสนุนอย่างเต็มกำลังจากทางภาครัฐ(ประเทศเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในอีกตัวอย่างที่ดีที่สุด)สำหรับเชิญทั้งสื่อและ Buyers ต่างชาติไปร่วมงาน รวมทั้งความละลานตาของดาราและศิลปินชื่อดัง(อีกปัจจัยสำคัญ ที่ยังคงทำให้ผู้คนหันไปสนใจในอีเว้นท์ต่างๆ)แล้ว Fashion Week ในเมืองไทย ส่วนของโปรดัคชั่นนั้นไม่ได้เป็นรองประเทศอื่นเลยแม้แต่น้อย หากเทียบกับในส่วนของสถานที่ซึ่งมีจำกัด โดยจัดในเต้นท์ แต่ไม่ใหญ่เช่นใน New York Fashion Week(ที่หลายโชว์นั้นดูเรียบง่ายกว่าเมืองไทย) แต่รูปแบบโชว์จากหลายๆห้องเสื้อก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ชม แม้แต่เพื่อนๆต่างชาติที่มีโอกาสได้เห็นรูปรันเวย์โชว์จาก Fashion Week ของเมืองไทย ที่ทั้ง Flynow, Hook's, Tube Gallery แบรนด์เหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ได้ยินเสียงชื่นชมสมกับเป็นหนึ่งในแบรนด์ระดับแถวหน้าของเมืองไทย ที่ทำให้รู้สึกภูมิใจในฝีมือดีไซเนอร์ไทย และทำให้ชาวต่างชาติอยากที่จะเข้าร่วมชมโชว์(หากโอกาสเอื้ออำนวย)

Lycée Carnot 
หนึ่งในสถานที่จัดโชว์หลักๆของงานสัปดาห์แฟชั่นในกรุง Paris

Palais de Tokyo
อีกสถานที่หลักในการจัดแสดงแฟชั่นโชว์ใน Paris เช่นกัน

ในส่วนของโปรดัคชั่นโชว์ทางฝั่งยุโรปเช่นของ Milan และ Paris ที่ไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกับการจัด Fashion Week ในเมืองไทยก็เพราะปัจจัยหลักในเรื่องของงบประมาณ(มหาศาล)ที่เค้ามี นั่นคือสิ่งที่ทำให้โชว์ใหญ่ระดับโลกทั้ง Chanel, Dior, Louis Vuitton, Gucci, Prada นั้นสามารถเนรมิตร Runway ขนาดใหญ่ และทำให้เป็นอะไรก็ได้อย่างที่ต้องการ บวกด้วยสถานที่ที่เอื้ออำนวย นั่นก็ยิ่งช่วยเติมเต็มให้โปรดัคชั่นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่หากไม่นับแบรนด์ใหญ่ที่มีกำลังงบมหาศาลขนาดนี้ อีกหลายๆดีไซเนอร์แบรนด์ก็มีรูปแบบโชว์ซึ่งดูเรียบง่าย เน้นเพียงรายละเอียดของผลงานไม่ต่างจากหลายๆโชว์ในเมืองไทย มีเพียงสถานที่ซึ่งมีประติมากรรมสวยๆช่วยให้บรรยากาศโดยรอบดูมีมนต์เสนห์ เช่น Mens SS 2016 ที่เพิ่งจบไป หลายแบรนด์นั้นจัดสถานที่เดียวกันใน Palais de Tokyo แต่รูปแบบการจัดที่นั่งต่างกัน แสง สี ที่ดูต่างกัน เพียงแค่นั้นก็ทำให้รูปที่ไปปรากฏลงบนสื่อดูแตกต่างกันไปโดยไม่ต้องใช้งบในการสร้างมากมาย(เท่ากับรายใหญ่)

Hong Kong Convention & Exhibition Centre
สถานที่ใช้จัดแสดงแฟชั่นโชว์ในช่วง Fashion Week มาช้านาน

The Shoppes at Marina Bay Sands
หนึ่งในสถานที่สำหรับจัดแสดงแฟชั่นโชว์ของ Singapore

หรือแม้แต่ในเอเชียเช่นที่กรุง Seoul เกาหลีใต้ อีกหนึ่งรายซึ่งงานสัปดาห์แฟชั่นกำลังเป็นที่ถูกจับตาในทศวรรษนี้ โดยมี Menswear เป็นตัวสำคัญในการที่ทำให้ Fashion Designers ของเกาหลีเป็นที่ถูกพูดถึง บวกด้วยสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ ดูโดดเด่นและเป็นแลนด์มาร์คใหม่ให้คนไปถ่ายรูปตั้งแต่ปีก่อน Dongdaemun Design Plaza แต่ในก่อนหน้านั้นขณะยังจัดโชว์ที่ Seoul Trade Exhibition & Convention Center (SETEC) รูปแบบของโปรดัคชั่นโชว์ก็มีทั้งที่ใหญ่โตและเรียบง่ายแตกต่างกันไปตาม Hall และกำลังงบที่แต่ละแบรนด์(และที่สปอนเซอร์)มี เช่นเดียวกับที่เมืองไทย ที่โชว์จะใหญ่หรือเล็ก นั่นก็เป็นเรื่องของงบประมาณในการจัดการ และเพื่อให้สอดรับกับคอลเล็กชั่นซึ่งแตกต่างกันออกไป เพียงแต่ในยุคนี้ เมื่อเกาหลีใต้กลายเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางงานดีไซน์ของเอเชีย รัฐและเอกชนรวมกันสนับสนุนกันมากขึ้น(ตึก DDP ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดี) Fashion Week ของเกาหลี จึงถูกยกระดับขึ้นไปอีก(หลายๆ)ขั้น บนเวทีแฟชั่นโลก

Hall ขนาดใหญ่ของ SETEC 
เนรมิตรรันเวย์ได้ตามต้องการในอดีต (Beyond Closet FW 09)

เช่นกันกับที่ Lycee Carnot
พื้นที่โล่งสามารถจัดรูปแบบโชว์ได้ตามต้องการ(และงบที่มี)

ตัวอย่างที่กล่าวมาในบางส่วน นั้นทำให้ส่วนตัวบอกได้ว่า ไม่เห็นด้วยหากใครบอกว่าโปรดัคชั่นของ Fashion Week ในเมืองไทยนั้นไม่ลงทุน เพราะหากเทียบขนาดของสถานที่ รวมไปถึงงบประมาณในการจัดงานที่มี(จะมากหรือน้อยอย่างไรก็แตกต่างกันไป) หลายๆห้องเสื้อในเมืองไทยนั้นทำได้ดีมากๆเลยทีเดียว เพราะการลงทุนที่บางคนอาจนำไปเปรียบเทียบกับเหล่ารายใหญ่ทั้งโชว์ในยุโรปโดยมี LVMH และ Kering เป็นนายทุน หรือในเอเชียที่มี Samsung และ Lotte เป็นผู้สนับสนุนนั่นคงดูไม่ยุติธรรมสำหรับการจัดงานสัปดาห์แฟชั่นของไทยที่เริ่มโดยมีทางนิตยสารแฟชั่นเป็นผู้ริเริ่ม และยังมีมาจนถึงทุกวันนี้(EllE Fashion Week AW 2015 ซีซั่นนี้เลื่อนขึ้นมาเป็นเดือนหน้า) หลังจากทศวรรษผ่านไป กับการที่มีโครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่น(แต่วันนี้ก็ไม่มีแล้ว) แต่ความตั้งใจในการนำเสนอผลงานการออกแบบโดยดีไซเนอร์ไทยให้ไปสู่สายตาชาวโลกก็ยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ตามการลงทุนที่เหมาะสมกับที่ผู้จัดงานเห็นสมควรต่อไป ^__^

ที่ Palais de Tokyo (Rick Owens SS 16)
กับรูปแบบโชว์ที่เรียบง่าย เน้นรายละเอียดของผลงาน

Palais de Tokyo ที่เดียวกัน (Paul Smith SS 16)
แต่ดูแตกต่างออกไปด้วยการจัดที่นั่งและการจัดการพื้นที่

แม้มี Hall ขนาดใหญ่ แต่หลายโชว์ใน SFW 
ก็นิยมจัดโปรดัคชั่นที่ดูเรียบง่าย เพื่อให้โฟกัสไปที่ผลงาน

เช่นเดียวกับที่ HKFW
รันเวย์เรียบง่าย แต่เห็นรายละเอียดของชุดได้ชัดเจน

(รูปภาพ : opoloppoppy)

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...